Europe trip วันที่ 1-2 [Bangkok – Munich]

ห่างหายจากการเขียนบล็อกไปปีกว่าๆ กลับมาคราวนี้เป็นบันทึกการเดินทางมายุโรปครับ บล็อกซีรี่ส์นี้จะเป็นการเขียนแบบบันทึกการเดินทางให้ตัวเองอ่าน จึงจะมีการเอ่ยถึงชื่อคนรู้จักอยู่เรื่อยๆ นะครับ และอาจจะมียืดเยื้อบ้าง แต่บางจุดก็จะอธิบายการเดินทางด้วย

สัปดาห์ที่แล้วผมเพิ่งเรียนจบ ส่งโปรเจ็คและเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยวันต่อมาก็ออกบินเลย คราวนี้ได้บินกับ Emirates เป็นครั้งแรก ตั๋วไปกลับกรุงเทพ-มิวนิคราคา 26,000 กว่าๆ ถือว่าไม่แพง (มั้ง) วีซ่าที่ขอเป็นแบบวีซ่าเพื่อการเยี่ยมเยียน โดยใช้คำเชิญจากโฮส ใช้เวลาสามวันก็ได้พาสปอร์ตคืน รายละเอียดจะไม่กล่าวถึงเพราะมีคนเขียนเยอะแล้วนะครับ

ภาพรวมของการมายุโรปคราวนี้คือการฉลอง (?) หลังเรียนจบ และใช้เวลาว่างยาวครั้งสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ชีวิตการทำงาน รวมถึงมาเยี่ยมโฮสแฟมิลี่เป็นครั้งแรกหลังจากจบการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเมื่อห้าปีก่อน

และถึงจะเขียนชื่อบล็อกว่า Europe trip แต่ก็ตั้งใจจะมาแค่ 3 ประเทศเท่านั้น คือเยอรมนี, ออสเตรีย และสโลเวเนียครับ เพราะส่วนตัวไม่นิยมการเที่ยวแบบอัดๆ ไปหลายเมืองหลายประเทศเพื่อให้รู้สึกว่า “คุ้ม”

บล็อกตอนแรกนี้จะเขียนควบวันแรกกับวันที่สองไปเลย เพราะเหตุการณ์ติดต่อกัน เลยจะยาวสักหน่อยครับ

clone tag: 8274600288999083877

 


[11-12 พฤษภาคม 2559] Day 1-2 บนเครื่องบิน Boeing 777-300ER เหนือเมืองบูคาเรสต์ ความสูง 38,000 ฟุต

ออกเดินทางจากบ้านด้วย UberX เวลา 16:50 ไปสนามบินสุวรรณภูมิ เผื่อเวลาเดินทางไว้เยอะถึงสองชั่วโมงและก็ไม่ผิดคาด เพราะตอน 17:40 ยังติดอยู่แถวศูนย์ราชการอยู่เลย สุดท้ายก็ถึงสนามบินเวลาประมาณ 18:50 (ค่าเดินทาง 330 บาท ไม่รู้มันได้กำไรจากไหน) และเนื่องจากเช็คอินมาจากบ้านแล้วจึงไปเคาน์เตอร์โหลดกระเป๋าอย่างเดียว แต่ตรงนั้นคนโล่งมาก คงเพราะยังอีกนานกว่าจะถึงเวลาบิน (เครื่องออกสามทุ่ม) พอโหลดกระเป๋าเสร็จก็ไปเดินเล่นนิดหน่อย ชาร์จมือถือ ถึงเวลาใกล้ๆ สองทุ่มก็เดินเข้าส่วนผู้โดยสารขาออก ตรงบริเวณสแกนกระเป๋าและตรวจพาสปอร์ตก็ไม่ค่อยมีคน แทบไม่ต้องรอคิวเลย ผ่านมาถึงร้านรวงดิวตี้ฟรีก็ไม่ได้สนใจอะไร เดินตรงดิ่งไป Gate E8 ทันที พบว่ามีคนมานั่งรออยู่เยอะแล้ว ตอนนั้นประมาณไม่ถึง 5 นาทีจะได้เวลา board พอนั่งได้แปปเดียวเค้าก็เรียกผู้โดยสารเฟิร์สคลาสและบิสเนสคลาสขึ้นเครื่องก่อน แต่รออีกครู่เดียวก็เรียกชั้นประหยัดตามไปทันที

เราเลือกที่นั่งให้อยู่หน้าๆ เข้าไว้เพราะอากาศจะดีกว่าข้างหลัง ไฟลท์นี้เป็น Airbus A380 ซึ่งผมไม่เคยนั่งมาก่อน เลือกที่นั่ง 45K ริมหน้าต่างไว้ คือเข้ามาอยู่แถวขวามือของเครื่องแล้วถึงที่นั่งแทบจะทันที เอาเป้เก็บไว้บนหัว คนนั่งข้างๆ คือคู่สามีภรรยาชาวไทยที่อายุยังไม่เยอะนัก ส่วนตัวคิดว่า A380 ไม่ได้มีอะไรดีเป็นพิเศษเหนือกว่าเครื่องรุ่นอื่นๆ ที่เคยนั่งเลย เพียงแค่ใหญ่มากเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้มีพื้นที่วางขาเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด แต่เนื่องด้วยผนังด้านในโค้งออกมากกว่าเครื่องปกติ จึงเหยียดเข่าออกไปได้มากขึ้นนิดนึง

IMG_20160511_202354 (Medium)การบินคนเดียวแล้วนั่งริมหน้าต่างคราวนี้ลำบากมาก เพราะเกรงใจคนข้างๆ ไม่กล้าลุกออกไปเข้าห้องน้ำ หรือเดินยืดเส้นยืดสาย ตอนแรกในหัวคิดไว้อย่างเดียวว่ายังไงก็ต้องนั่งริมหน้าต่าง แต่จะนั่งไปทำไมในเมื่อมองอะไรไม่เห็นอยู่ดี เดี๋ยวขากลับว่าจะกดเปลี่ยนที่นั่งดู ไม่รู้ยังมีเหลืออยู่เยอะไหม

มาถึงเรื่องระบบความบันเทิงบนเครื่องบ้าง เท่าที่ลองเล่นดูพบว่าของ Emirates ล้ำหน้ากว่าที่เคยใช้ของ Etihad ไปเยอะมาก แต่จะเปรียบเทียบตรงๆ ก็ไม่ได้เพราะนั่นมันก็ห้าปีมาแล้ว หนังใหม่ๆ เพียบ ณ วันที่บินมีเรื่อง Deadpool แล้ว แต่หูฟังของเครื่องค่อนข้างแย่ เสียบแล้วเสียงออกข้างเดียว ต้องขยับๆ เลยพาลไม่ได้ดูหนังอะไรไปซะเลย นอกจากนี้พวกฟีเจอร์บอกข้อมูลเกี่ยวกับไฟลท์ก็ทำมาได้ค่อนข้างดี บอกข้อมูลเยอะถูกใจเด็กคอมแบบเรา มี gimmick สนุกๆ เป็นหน้าจอนักบินด้วย แต่การสัมผัสยังไม่ค่อยแม่น และยังกระตุกอยู่พอสมควร สรุปว่าโดยรวมทำมาได้ดี มีลูกเล่นเยอะ หนังเยอะมาก ทั้งหนัง Hollywood, Bollywood, เอเชีย, ตะวันออกกลาง ฯลฯ เพลงก็เยอะมาก แต่ฮาร์ดแวร์ยังช้าและกระตุก แถมตอนใกล้ๆ ลงที่ดูไบ ผมเปิดเกม Bookworm เล่น ดันค้างอยู่หน้าจอโหลดไปดื้อๆ และทำอะไรไม่ได้อีกเลย

IMG_20160512_024205 (Medium)อาหารบนเครื่องเลือก Seafood Rigatoni มา รสชาติใช้ได้เลย แต่เส้นแข็งไปหน่อย นอกนั้นมีสลัดเปรี้ยวๆ ใส่เป็ดมาชิ้นหนาๆ 1 ชิ้นถ้วน เครื่องเคียงอย่างอื่นก็เป็นขนมปังก้อน และแครกเกอร์ชิ้นจิ๋วๆ 5 ชิ้น มีซอสให้ทา รสชาติเฉยๆ ส่วนของหวานเป็นเค้กช็อกโกแลตวางอยู่บนแยมสตรอเบอรี่ รวมๆ แล้วถือว่าอาหารเยอะมาก กินหมดทุกอย่างอื่มเลยแหละ ขนาดหิวมานะ ส่วนเครื่องดื่มก็เลือกได้หมด มีไวน์แดงกับเบียร์ Heineken ด้วย ส่วนแชมเปญต้องจ่ายเพิ่มแก้วละ 15USD

IMG_20160511_220305 (Medium)

ถ่ายด้วย Nexus 5X ไวท์บาลานซ์โดนหลอกหมดท่า

เครื่องบิน A380 ของ Emirates ทุกลำมี Wi-Fi ให้ใช้ฟรีคนละ 10MB ถ้าอยากใช้เพิ่มก็จ่าย 1 USD จะได้ 500MB (ถูกมาก) SSID ชื่อ OnAir เป็นคลื่น 2.4GHz แบบ 802.11g (54Mbps) แต่พอผมต่อเข้าไปกลับไม่มีหน้าจอล็อกอินใดๆ ขึ้นมาเลย ลองเข้าเว็บเผื่อจะให้มัน redirect ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ครั้นจะลุกออกไปหยิบโน้ตบุ๊กมาลองก็เกรงใจคนข้างๆ ที่หลับอยู่ ลองตลอดก็ไม่ได้ สรุปอดใช้เน็ต

พอมาถึงสนามบินดูไบ กัปตันเอาเครื่องเข้าหลุมจอดแต่ยังไม่ให้ลง สักพักประกาศว่าระบบ guidance ทำงานผิดพลาด ต้องรออะไรไม่รู้ ทำให้เข้าหลุมจอดได้ไม่สุด เหลืออีก 20 เมตร นั่งรอสักพักก็ค่อยๆ เคลื่อนที่เข้าได้ และเดินออกจากเครื่อง

สนามบินดูไบมีทั้งหมด 3 Gates คือ A, B และ C โดยเครื่องบินของผมมาจอดที่ Gate A พอเดินเข้าตึกมาดูกระดานได้ความว่าต้องไปต่อเครื่องที่ Gate B5 ก็เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ และพบว่า Gate B อยู่อีกตึก ต้องนั่งรถไฟฟ้าไป ด้านในรถไฟฟ้ามีบรรยากาศคล้าย BTS บ้านเราอยู่เหมือนกัน นั่งเพียง 10 นาทีก็ถึง ออกมาก็เดินตามป้ายต่อ ผ่าน Duty Free อีกแล้ว แต่คราวนี้ขอแวะเพราะมีเวลาเยอะ (ราวสองชั่วโมง) และอยากเช็คราคาของด้วย เดินมาดูหูฟัง Sennheiser CX 3.00 ราคา 249 AED แปลงเป็นเงินไทยก็แพงกว่าร้านมั่นคงอยู่ 100 บาทถ้วน ส่วนของอย่างอื่นไม่ได้ดู

IMG_20160512_040550 (Medium)

รอรถไฟไป Gate B, C

 

ช่วงเวลาสั้นๆ ในโซน Duty Free พบรถซูเปอร์คาร์สองคัน คือ Aston Martin กับ Mercedes Benz AMG GT S เหมือนเป็นเกมชิงรางวัลอะไรสักอย่าง เอาเถอะ จากนั้นก็เดินตามหา Gate B5 ต่อ เดินไกลมาก เกือบสุดตึกเลย หาที่นั่งได้แล้วหยิบมือถือขึ้นมาต่อ Wi-Fi ฟรี โดยใช้ได้เครื่องละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น แถมมีเงื่อนไขว่าต้องโหลดแอพ Skyscanner มาลงเครื่องด้วย หรือไม่ก็ดูโฆษณาแทน ผมมีแอพนี้อยู่แล้วแต่ก็ลองกดดูว่าจะเป็นอย่างไร มันก็เข้า Google Play Store ตามปกติ แต่ตอนนั้นเน็ตก็ใช้ได้เลย เทสสปีดต่ำมาก ได้แค่ 1Mbps เท่านั้น พอใช้งานได้แบบอืดๆ นั่งเล่นอยู่สักพักเน็ตจะดับ เพราะ Chrome โดน kill process ทำให้หน้านับเวลาโดนปิด ต้องเปิดขึ้นมาแล้วกดโหลดแอพใหม่ถึงจะใช้ต่อได้ (แต่เวลาเหลือเท่าเดิม) ใช้ไปจนหมดชั่วโมงก็โดนตัดถาวร ต้องซื้อเท่านั้น เลยหยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมาเล่นต่อได้อีกชั่วโมง แต่ยังไม่ครบดีก็ถึงเวลา board แล้ว เข้า gate ไปก็อยากเข้าห้องน้ำเลยได้โอกาสดูห้องน้ำสนามบินดูไบ สรุปสั้นๆ ว่าสกปรกมาก ฮ่า

เรียบร้อยแล้วเดินออกมาขึ้นรถบัสไปส่งขึ้นเครื่อง รออยู่นานกว่าจะออก คิดเอาเองว่าระหว่างที่เข้าห้องน้ำ น่าจะมีคันแรกออกไปก่อนแล้ว เราดันเป็นคันสุดท้ายซะงั้น เพราะมาถึงเครื่องไม่นานกัปตันก็ประกาศออกบินเลย (นั่งรถบัสนานมาก จอดโคตรไกล) แน่นอนว่าเลือกที่นั่งไว้หน้าๆ ริมหน้าต่างเหมือนเดิม (25K) ปรากฏว่าไฟลท์นี้คนน้อยมาก! น้อยแบบหรอมแหรมเลย ว่างเป็นกระจุกๆ ตลอดเครื่อง สองที่ข้างๆ ผมก็ไม่มีใครนั่ง แถวเบอร์ 24 ก็ไม่มี ไฟลท์นี้เลยกลายเป็นไฟลท์พระเจ้าในทันที วางของยังไงก็ได้ นั่งเหยียดยังไงก็ได้ คนที่นั่งแถวกลางนอนยาวพาดเก้าอี้ 4 ตัวกันหลายคน ผมเลยเอาบ้าง (อยากทำมานานแล้ว) นอนสบายสุดๆ ชดเชยที่นอนไม่ค่อยหลับจากไฟลท์ก่อนหน้าได้บ้าง

IMG_20160512_082253 (Medium)

เป็นอย่างนี้ทั้งลำจริงๆ

สำหรับเครื่องบินของ Emirates ลำนี้ (Aircraft ID: A6-ENN) มีจุดสังเกตสำคัญอยู่จุดนึง คือเบาะริมฝั่งขวา ทั้งริมหน้าต่างและริมทางเดินขวาจะไม่มีปลั๊กไฟให้ใช้นะครับ ถามแอร์ก็บอกว่าเป็นอย่างนี้แหละ แต่ด้วยความโชคดีที่ไฟลท์นี้คนน้อย เราเลยยึดทั้งสองปลั๊กซ้ายมือ ฮา

IMG_20160512_084711 (Medium)

ยึดทุกปลั๊ก

IMG_20160512_100201 (Medium)

สังเกตว่าที่นั่งซ้ายมือมีปลั๊ก ส่วนที่นั่งผมไม่มี

อาหารเช้าเลือกเป็นออมเลตเห็ด มาพร้อมผักขมอบแบบมีครีมๆ และ hash browns อร่อยทีเดียว ในถาดยังมีผลไม้, ขนมปังครัวซองต์ และ hash brown แน่นอนว่ากินเรียบเหมือนเดิม

IMG_20160512_084750 (Medium)IMG_20160512_084953 (Medium)ข้ามมาถึงตอนถึงมิวนิคเลยละกัน เนื่องจากผู้โดยสารน้อยมากจึงไม่ต้องแย่งกันหยิบกระเป๋าจากที่เก็บเหนือหัว ระหว่างยืนรอลงก็คุยกับแอร์ฯ ว่าปกติไฟลท์นี้คนน้อยอย่างนี้ตลอดเลยหรอ แอร์ฯ บอกว่าไม่ นี่คือผิดปกติ เพราะเขาเพิ่งมาอาทิตย์ที่แล้วแน่นเลย ไฟลท์นี้ต้องเอา cabin crew ออกไปถึงสองคนเลยทีเดียว

ลงจากเครื่องมาถึง ต.ม. ไม่ค่อยเฟรนด์ลี่นัก ถามว่ามาทำอะไร มาคนเดียวหรอ พอบอกว่ามาเยี่ยมโฮสก็บอกว่ามีตั๋วกลับมั้ย ขอดูหน่อย (พูดห้วนมาก) พอดูเสร็จเหลือบไปมองคนต่อไปในคิว ละถามว่าทำไมคนพวกนี้ชอบมาจากประเทศไทย เราก็งง อะไรฟระ พี่แกก็บอก “หันไปดูสิ คิดว่าคนนั้นพูดอังกฤษได้มั้ย” คือตอนนั้นงงมาก หันไปดูเป็นป้าหน้าค่อนข้างเอเชีย ใส่ฮิญาบ เราก็หันกลับไปบอกว่า “ไม่รู้สิ” เขาก็สั่งให้เดินกลับไปถามว่าป้าพูดอังกฤษได้มั้ย งงอย่างต่อเนื่อง เลยเดินไปถาม ป้าบอก “A little” ตำรวจก็ทำหน้านิ่งเฉย ละคืนพาสปอร์ตให้แบบวางแรงมาก ดังป้าบ เราก็ไม่อะไร หยิบแล้วเดินออกมารับกระเป๋า

P1100651 (Medium)

BMW Museum อาคารกลมๆ ขวามือ ส่วนด้านหลังเข้าใจว่าเป็นออฟฟิศของ BMW ทำเป็นตึกรูปลูกสูบเครื่องยนต์ (สี่สูบ)

จากนั้นก็เจอไพรซ์แล้วเดินไปซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมือง เนื่องด้วยสนามบินอยู่ห่างไกลมาก ตั๋วจึงเป็นตั๋ววันแบบแพงสุด (€12) นั่ง S-Bahn มาต่อรถบัสแล้วไปที่หอไพรซ์อีกที

เก็บของอะไรเสร็จไพรซ์ไปอ่านหนังสือเรียน เราเดินไปสถานี U-Bahn เพื่อเข้าเมืองไป BMW Museum และ BMW Welt (อยู่ด้วยกัน) ซึ่งอยู่สถานี Olympiazentrum โดย BMW Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ ณ ตอนนั้นจัดแสดงงานครบรอบ 100 ปีพอดี ฟินไปตามๆ กัน และฝั่ง BMW Welt ก็เป็น “โชว์รูม” ขนาดยักษ์ มีทุกรุ่นอยู่ที่นี่ ใช้เวลาเดินทั้งสองที่ประมาณสามชั่วโมง (ยังไม่ทั่วเลย) ก็หมดเวลา (ยังดู BMW i3 ไม่หนำใจเลย) ต้องไปบ้านลุง Hans และป้าจอยเพื่อเอามะม่วงไปให้ นัดเจอเค้าที่สถานี S-Bahn Feldkirchen ราวหกโมงกว่าๆ ลุงฮานส์มารับด้วยรถ Audi A3 สีขาว แน่นอนว่าลุงแกคุยเยอะเหมือนเดิม ไปถึงบ้านก็นั่งคุยกันสักพักและกินข้าว มีไส้กรอกเพียบ, สลัด และขนมปัง อิ่มแล้วก็นั่งคุยต่อสักพักใหญ่ แต่เราเหนื่อยพอสมควร เลยบอกว่าขอตัวกลับ ระหว่างนั่งรถไฟก็ต้องไป Hauptbahnhof ก่อน เพื่อซื้อตั๋วรถไฟไป Stuttgart ในวันพรุ่งนี้ พบว่าราคาขึ้นเป็นราคาเต็มที่ €57 จากตอนแรก €29 (อ้วกแตก) จะนั่งรถอื่นที่ช้ากว่าเดิมก็ไม่ได้เพราะนัดโฮสแม่ไว้แล้ว จากนั้นก็นั่งรถกลับหอ สลบอย่างไว

P1100639.JPG

BMW 750Li ที่เลือกสีเทาด้านพิเศษจากโครงการ BMW Individual (จ่ายเพิ่มแพงมาก)

P1100659.JPG

BMW 3-Series รหัส E30 เป็นหนึ่งในรุ่นที่ฮิตที่สุดตลอดกาล

Leave a comment

Filed under Uncategorized

Leave a comment